เอาล่ะครับเรื่องราวที่จะเล่าให้ฟังมันก็คือว่า วันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดเรา เราก็ด้วยความดีใจว่าวันนี้จะไปเที่ยวในตัวเมืองเสียหน่อย คือว่าผมทำงานอยู่ที่อู่ต่อ ก็จะอยู่ออกมานอกตัวเมืองนิดหน่อย นั่งรถเมล์หรือแทกซี่ไปก็ไม่นาน เดี๋ยวครั้งต่อไปจะเล่าความประทับใจของรถเมล์และระบบขนส่งของ Italy ที่ไปเจอมาให้ฟังครับผม เอาเป็นว่าพอนั่งรถเข้าถึงตัวเมือง ปรากฎว่่าร้านรวงทั้งหลายแหล่ ปิดทำการกันเกินครึ่ง ดูเหมือนเมืองร้างยังงัยก็ไม่รู้ ลองถามๆ คนแถวนั้นว่าวันนี้เป็นวันอะไรทำไมถึงร้านค้าเขาถึงปิดกันซะขนาดนี้ เขาตอบมาแบบว่าก็วันอาทิตย์งัย ก็หยุดอย่างนี้ทุกวันอาทิตย์ ก็เลยถามต่อว่าแล้ววันเสาร์ล่ะ หยุดอย่างนี้หรือเปล่า เพราะคิดในใจว่าเดี๋ยววันเสาร์เราหยุดครึ่งวันค่อยมาเที่ยวก็ได้ เขาตอบกลับมาว่าวันเสาร์ก็หยุดครึ่งวันงัย ก็พูดง่ายๆว่่า ถ้าผมหยุดครึ่งวันวันเสาร์ แล้วผมนั่งรถเข้ามาในเมืองผมก็จะเจอสภาพเมืองร้างอีกเช่นกัน เอากะมัน....
ก็อย่างที่เคยบอกไว้ว่าไม่มีที่ไหนน่าอยู่เหมือนเมืองไทยครับผม ย่ิงถ้าพูดถึงเรื่องความสะดวกสะบายแล้ว ไม่มีที่ไหนเกิน แม้ว่าบางครั้งเราจะเอาสะดวกสะบายจนหลงลืมระเบียบวินัยกันไปบ้างในบางครั้ง แต่ก็ยังถือได้ว่าไม่น่าเกียจอะไรมากมาย บ้านเราบริษัทที่จะปิดทำการกันในวันอาทิตย์ มักจะไม่ใช่ร้านค้าขายหรือห้างใหญ่ๆ อย่างแน่นอน แล้วเวลาจะไปซื้อของหรือไปเดินเล่นก็ต้องมีการวางแผนกันให้ดีอีกนิดนึง เพราะว่าตอนกลางวันแถวนี้เขาจะปิดร้านกันอีกประมาณ 3 ชั่วโมง มีอยู่วันนึงกำลังเดินดูของกันอยู่ ก็เห็นบางร้านเร่ิมปิดประตู ก็ไม่ได้สงสัยอะไร เดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นเร่ิมทยอยปิดกันจนเกือบหมดทุกร้าน สอบถามได้ใจความว่า จะกลับมาเปิดอีกทีตอน 5 โมงครึ่ง วันนั้นมีลูกค้าที่มากับเรือสำราญลำใหญ่อยู่ 3 ลำ รวมลูกเรือด้วยแล้ว จะมีคนเดินเข้าไปในตัวเมืองไม่น่าจะต่ำกว่า 8,000-10,000 คน ที่อย่างน้อยต้องใช้จ่ายซื้อของกันอย่างแน่นอน แต่คนที่นี่เขาบอกว่าได้เวลาพักกลางวันแล้ว เดี๋ยวค่อยตื่นมาขายต่อตอนที่คนหายหนีกันหมดแล้ว เพระาว่าเรือส่วนใหญ่จะออกตอน 5-6 โมงเย็น
แต่ก็อย่างว่าแหละเขาทำของเขามาอย่างนี้ทุกครั้ง มันก็เลยกลายเป็นเรื่องปรกติสำหรับเขาไปแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น